Man Bites Dog (1992)
Man Bites Dog (A film by Remy Belvaux, André Bonzel, Benoît Poelvoorde)

ตอนได้ดีวีดีหนังเรื่องนี้มา ต้องบอกให้ทราบว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าหนังมีต้นกำเนิดทางด้านความคิดมาอย่างไร และเมื่อดูหนังไปครึ่งเรื่อง ผมกลับต้องไปกดรีโมทเพื่อไปดู Feature ของแผ่นที่สัมภาษณ์กลุ่มคนทำหนังกลุ่มนี้เพื่อจะทราบถึงที่มาที่ไปของหนังเสียก่อน ใช่ว่าหนังไม่สนุก แต่รู้สึกว่า อยากรู้ว่ามันเล่นอะไรกันของมันเนี่ย
ก่อนอื่นจะบรรยายภาพที่เห็นในหนัง โดยมันจะคล้าย ๆ กับหนังสารคดีเรื่องหนึ่งที่ถ่ายวิธีการฆาตกรรมรูปแบบต่าง ๆ นานาของนายเบน ซึ่งใช้ฟิล์มขาวดำในการถ่ายเสียด้วย นายเบนรับบทเป็นพิธีกรในการฆาตกรรมโชว์ด้วยตนเอง โดยการหาเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายตามสถานที่รโหฐานต่าง ๆ ซึ่งการถ่ายทำนั้นดูจริงราวกับเป็นสารคดี (ทั้งที่เราก็รู้ว่ามันเป็นการเซ็ตฉากขึ้นมา)
ในหนังเราจะรู้จักกับตัวละครแวดล้อมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งก็ได้แก่ คนถือกล้อง คนบันทึกเสียง ผู้ช่วยอีกหนึ่งคน ที่มาเป็นทีมงานในการถ่ายทำบ้า ๆ ของสารคดีนี้ ซึ่งลักษณะที่หนังออกมานั้น มันบันทึกเรื่องราวจริงทั้งหมด ถึงขนาดมีการคุยกันของทีมงานกับตัวเบนให้เห็น
หนังก็มีลูกเล่นหลายอย่างที่นำมาเล่นกับเทคนิคการถ่ายทำ เช่น การที่บูมแมน*วิ่งไปยังอีกที่หนึ่งแต่ตัวกล้องอยู่อีกที่หนึ่งกับเบนแต่เสียงที่ได้เรากลับเห็นเบนพูดโดยเสียงเบามาก ในขณะที่เราจะได้ยินเสียงที่ผ่านจากไมค์ที่อยู่กับบูมแมนชัดกว่า
หนังพาเราไปหาสันดานดิบของมนุษย์ในการฆ่ากัน ซึ่งการฆ่าของเบนนั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างโรคจิต เพราะเขาเห็นมันเหมือนกับเป็นเรื่องสนุก และพยายามหาวิธีพิศดารเท่าไหร่ก็ได้ในการฆาตกรรม โดยไม่แคร์สิ่งอื่นใด และมันก็มีหลายครั้งที่ชอคคนดูกับการลั่นปืนแบบไม่ได้ตั้งใจกับคนสนิทของเขา ถึงขนาดคนในครอบครัวของเขาเอง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เบนรู้สึกตกใจอะไรทั้งสิ้นเนื่องด้วยความด้านชาในการฆ่าคนของเขานั่นเอง
อย่างหนึ่งที่ผมติดไว้ตอนแรกของหนังที่ผมเปิดดูฟีเจอร์ของแผ่นดีวีดีก่อน ก็คือผมได้ไอเดียของการทำหนังเรื่องนี้คือว่า ไอ้เจ้าเบนเนี่ยนำแสดงโดย Benoît Poelvoorde และทีมงานก็คืออีกสองคนที่เหลือนั่นแหละ ซึ่งกลุ่มนี้ทำหนังเรื่องนี้ โดยมีแนวคิดจากหนังทุนต่ำแล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำหนังจากเงินที่มีอยู่น้อยนิดอย่างไร พวกเขาก็เอาไอเดียของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในสื่อ มาลองถ่ายแบบสารคดีโดยให้นักแสดงนำของเรื่อง สวมบทบาทคนโรคจิต พูดมาก น่ารำคาญ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการอิมโพรไวส์ของนักแสดงเองล้วน ๆ
ตัวหนังเองวิจารณ์ในเรื่องของความรุนแรงของสื่ออย่างเต็มที่ ซึ่งหากลองดู ๆ ไปจะเห็นว่า ไม่ได้มีคนกลุ่มเดียว แต่ยังมีอีกหลายกลุ่ม ซึ่งครั้งหนึ่งในหนังจะเห็นอีกกลุ่มที่ถือกล้องวิดีโอมาถ่ายหนังลักษณะบ้า ๆ แบบนี้อีกเช่นกัน
สองเรื่องที่หยิบมานั้นต่างกันสุดขั้วในแง่ความรู้สึก แต่สิ่งที่เหมือนกันเห็นจะเป็นภาพสะท้อนของสัญลักษณ์บางอย่างในสังคม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่แฝงอย่างหนึ่งของหนังที่สะท้อนถึงสังคมและวัฒนธรรมของสถานที่และจิตใจของคนในสังคมที่ร่วมสมัยนั้น
ลองหามาดูกันครับอาจจะหายากสักนิดนึงนะครับ

