เมษายน 28, 2024, 11:19:50 PM *
ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น
ข่าว: AVC เปิดเฟสและโซเชี่ยลใหม่ เพื่อนๆช่วยกดไลค์ติดตามด้วย
เวบเข้าสู่ปีที่ 15 แล้ว ท่านสามารถช่วยเหลือเวบได้โดยสมัคร VIP (ตลอดชีพ) อ่านคอมเมนท์จากผู้ใช้งานจริง ที่นี่
 
   หน้าแรก   ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก  
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  (อ่าน 5428 ครั้ง)
Vice President AVC
ผู้บัญชาการเอวีสูงสุด
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2480



« เมื่อ: ตุลาคม 04, 2010, 03:03:47 PM »

ว่าจะเขียนเรื่องชีวิตการเรียนน้ำเน่าต่อก็ยังไม่มีเวลาและอารมณ์แต่บังเอิญถูกจุดประกายทางความคิดจากรายการทีวีว่าทำไมคนไทยพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ซะที ก็เลยจะขอเครียด ขอคิด ขอเขียนกับเขาด้วยคนค่ะ ในฐานะเคยคลุกวงใน(และอาจจะต้องกลับไปคลุกแล้วคลุกอีก)กับวงการสอนภาษาอังกฤษบ้านเราค่ะ ผู้รู้หลายๆคนก็พุดกันไปแล้วเรื่องเทคนิคที่นักเรียนจะไปใช้ในการพัฒนาตัวเองไปแล้วว่าทำอย่างไรถึงพูดได้ สื่อสารได้ เช่นต้องกล้า ต้องไม่อาย ต้องตั้งใจฝึก ฯลฯ และได้ลองมองปัญหาจากมุมมองของผู้เรียนไปมากแล้ว ดิฉันขอมองเรื่องนี้โดยมองถึงความบกพร่องของระบบบ้าง

(อ้อ แล้วบุคคลที่อ้างอิง เช่น ครู นักเรียนนั้น ก็พูดถึงภาพรวมๆเท่าที่เห็นๆมานะคะ คนที่เป็นข้อยกเว้นก็มีอยู่เยอะแยะ)

-----------------------------------------------------------------------------

เวลาที่เราออกมาพูดกันว่าเด็กไทยไม่สามารถพูดภาษาอังกฤษ หรือไม่ประสบความสำเร็จในการเรียนภาษาอังกฤษ ดิฉันคิดว่าส่วนใหญ่เราอ้างอิงมาจากผลการสอบโทเฟิลว่าเด็กไทยคะแนนสู้เพื่อนบ้านไม่ได้ และก็มองจากภาพรวมว่าคนไทยสื่อสารกับฝรั่งไม่รู้เรื่อง เจอฝรั่งแล้วก็วิ่งหนีก่อนเลย แต่ในเมื่อเราก็เรียนภาษาอังกฤษกันตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ทำไมปัญหานั้นจึงยังเกิดขึ้นอยู่

ตามทฤษฎีการเรียนภาษา ดูเหมือนว่าหากเราเริ่มเรียนภาษาที่สองตอนเด็ก และได้รับฟัง ได้ยิน ได้คลุกคลีกับภาษาใดภาษานั้นๆมากพอ จากเจ้าของภาษา เราจะสามารถรับรู้ภาษานั้นได้โดยอัตโนมัติ อย่างเป็นธรรมชาติ (แม้ประเด็นนี้จะยังเป็นที่โต้เถียงกันก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ก็ดูเหมือนจะยอมรับมันกลายๆ) ดิฉันว่านั่นเป็นที่มาของการเริ่มเรียนภาษาอังกฤษแต่เด็ก

แต่ทว่า ตอนเด็กๆเราเรียนอะไร เราแทบไม่เคยได้พูดภาษาอังกฤษยาวๆเลย เราได้พูดภาษาอังกฤษเป็นคำๆ ด้วยการออกเสียงและลงเสียงหนักเสียงเบาที่ถูกบ้างผิดบ้าง นั่นเป็นเพราะอะไร เพราะแม้แต่ครูภาษาอังกฤษเองยังไม่อยากจะพูดภาษาอังกฤษเลย  ลองคิดย้อนกลับไปถึงครูสอนภาษาอังกฤษของคุณระดับประถมนะคะ ครูกี่คนที่พูดภาษาอังกฤษให้คุณเห็น พูดแบบที่สื่อสารจริงๆและสร้างความรู้สึกว่า อืม เราต้องเรียนภาษาอังกฤษเพื่อพูดให้ได้นะ กลับกลายเป็นว่าเราดันใช้ช่วงเวลาเด็กกับการอ่านออกเสียงเป็นคำๆ เรียนไวยากรณ์ แต่ไม่ได้มีโอกาสสื่อสาร ทั้งๆที่มันเป็นโอกาสทองของการพัฒนา

และในขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนครูก็น่าหนักอกยิ่งนักค่ะ มีคนกี่คนที่พูดภาษาอังกฤษกับฝรั่งได้รู้เรื่องจะยินยอมพร้อมใจที่จะมาสอนภาษาอังกฤษระดับประถมด้วยเงินเดือนเริ่มต้นประมาณเจ็ดพันบาท ไม่นับการที่คุณจะต้องทำหน้าที่อีกประมาณห้าร้อยประการ (เช่นไปค่ายลูกเสือกับนักเรียน ดูแลนักเรียนทำความสะอาด พร้อมๆกับอบรมจริยธรรม) ในขณะที่เพื่อนร่วมรุ่นของคุณมีเงินเดือนเริ่มต้นหลายหมื่นบาทหากเลือกไปดูแลผู้โดยสารอยู่บนเครื่องบิน แล้วทำไมครูถึงได้เงินเดือนน้อยขนาดนั้น ก็เป็นเพราะคนไม่ให้ความสำคัญกับอาชีพ และมองว่า ครูประถมก็คือ คน "เก่งน้อย ด้อยประสบการณ์กว่าครูมัธยม และอาจารย์มหาลัย" ซึ่งจริงๆแล้วไม่ควรจะเป็นเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นหากต้องเลือกระหว่างจบครุศาสตร์แล้วไปเป็นแอร์กับสอนหนังสือโรงเรียนประถม จะมีกี่คนที่เลือกอย่างหลังด้วยความภาคภูมิใจในอาชีพพร้อมทั้งได้รับฉันทานุมัติจากพ่อแม่  หรืออีกเหตุการณ์หนึ่งที่เจอบ่อยก็คือ การสอนภาษาอังกฤษระดับประถมเป็นเพียง "อาชีพทางผ่าน" ของเด็กจบใหม่ คือมาสอนเล่นๆ รอไปเรียนต่อ หรือไม่ก็มาสอนเอาเงินกินขนมไปก่อน แล้วก็ลาออกอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ในทางกลับกัน หากมองจากมุมมองของโรงเรียน เมื่อไม่สามารถหาครูที่มีคุณภาพ "ถึงเกณฑ์" ได้ วิธีที่ต้องดำเนินการต่อไปก็คือ การ "ลดเกณฑ์" ใครมาสมัคร คุณสมบัติพอได้ ก็เอาไว้ก่อน เพราะถ้าไม่รับใครไว้เลย ก็ไม่มีคนสอน และยิ่งเป็นพวกสอนได้หลายวิชายิ่งดี เช่น สอนเลข ภาษาอังกฤษ พลศึกษาได้ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นครูชั้นประถมศึกษาบางคนจึงไม่มีความมั่นใจแม้กระทั่งจะพูดภาษาอังกฤษออกมา

หากเรามองประเทศเพื่อนบ้าน อย่างเช่นประเทศไต้หวัน เกาหลี ฯลฯ ครูสอนภาษาอังกฤษในระดับประถม มัธยม ต้องจบปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษ  อาชีพครูเป็นอาชีพที่มีการแข่งขันสูง คนอยากมีอาชีพสอนหนังสือ เพราะมีเกียรติและได้รับค่าตอบแทนที่ดี และเขาให้ความสำคัญกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษตั้งแต่ในระดับโรงเรียน คนจากประเทศดังกล่าวมักแสดงความแปลกใจมากกว่าในประเทศไทยคนจบปริญญาโทด้านการสอนภาษาอังกฤษสามารถเข้าสอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัยได้ด้วย ประเทศเขา แม้แต่คนจบปริญญาเอกยังไม่สามารถหางานทำในมหาลัยได้ง่ายๆเลย (โดยส่วนตัวดิฉัน ไม่ได้เห็นว่าใบปริญญามีความสำคัญขนาดนั้นนะคะ ความรู้ที่ไม่น้อยเกินไปบวกกับความตั้งใจสอนสำคัญกว่าใบปริญญาเป็นหลายๆๆๆเท่า)

เอาหละคะ สมมติว่าเราได้ครูที่มีความรู้ ความสามารถ เรียนทฤษฎีการเรียนการสอนมาอย่างเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ หากครูมาเจอขนาดห้องเรียนที่มีนักเรียนห้าสิบคน แถมอยู่ในโรงเรียนที่มีบรรยากาศเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจ จะมีนักเรียนคนไหนที่มีสมาธิเรียนและจะมีครูคนไหนที่สามารถดึงความสนใจของนักเรียนห้าสิบคนให้อยู่กับที่ พร้อมๆกับทำกิจกรรมพูดภาษาอังกฤษในห้องเรียนได้บ้าง แค่จะให้นั่งเรียบร้อยฝึกฟัง อ่าน เขียน ยังยากเลยค่ะ และในเมื่อการเป็นสิ่งที่ครูก็ไม่ถนัด บรรยากาศก็ไม่อำนวย ครูหลายๆคนก็เลือกที่จะให้นักเรียน ฟัง อ่าน เขียน มากกว่าพูด เพราะมันควบคุมได้มากกว่า เห็นผลชัดเจนกว่า ตรวจให้คะแนนง่ายกว่า

------------------------------------------------------------

พอขึ้นไประดับมัธยม ปัญหาเดิมคือห้องเรียนขนาดใหญ่และคุณภาพของครูก็ยังคงมีอยู่ค่ะ แต่ปัญหาใหม่ที่เพิ่มมาก็คือ นักเรียนไม่ได้ให้ความสำคัญกับการอยากพูด อยากเขียน อยากฟังเท่าไหร่แล้ว แต่นักเรียนอยากสอบเอเนต โอเนต ให้ได้คะแนนดีค่ะ ถ้าเกิดมีครูฟิตๆไปสอนให้นักเรียนพูด ฟัง อ่าน เขียน ในขณะที่นักเรียนต้องการให้ครู"ติว" เพื่อสอบเอเนต โอเนตอะไรนั่น ก็กลายเป็นว่าดีมานด์กับซัพพลายสวนทางกันอีก สู้ไปเรียนโรงเรียนติวดีกว่า เพราะมีเทคนิคการจำคำศัพท์และเลือกคำตอบในข้อสอบ ก็กลับกลายเป็นว่าเด็กเอ็นต์ติดเพราะรู้วิธีทำข้อสอบมากกว่ามีทักษะในภาษา เอาหละ พอนักเรียนหนีไปโรงเรียนติวหมด ครูมัธยมก็ต้องเริ่มสอนแนวติวบ้างตามความต้องการของนักเรียน ดังนั้น การฝึกทักษะ ก็ลืมไปได้เลยค่ะ

(ผลพวงของปรากฎการณ์ดังกล่าวก็คือนักเรียนอาจจะจำคำศัพท์ได้เป็นหลายร้อยคำ แต่พอมาถึงระดับมหาวิทยาลัย อาการพูดไม่ได้เรื้อรังมันและอาการเอาความรู้คำศัพท์ โครงสร้างและไวยากรณ์มาใช้ไม่ถูก มาเขียนเป็นประโยคไม่ได้ ก็จะออกฤทธิ์อย่างรุนแรงค่ะ กล่าวคือ นักเรียนมีความรู้มท่วมหัวแต่เอาตัวไม่ค่อยจะรอด)

อีกประการหนึ่ง ต้องยอมรับค่ะว่าการสอนนักเรียนมัธยมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเหมือนเด็กเล็กที่ทำให้ตื่นเต้นและหลอกล่อได้ง่ายกว่า หากครูทำให้บทเรียนน่าเบื่อ นักเรียนก็หนีเรียนอีกตามเคยหละค่ะ ทีนี้ ผลพวงของการเบื่อของนักเรียนระดับมัธยมมันก็ร้ายแรงกว่าระดับประถมนะคะ ตอนอยู่ประถม พ่อแม่ก็ต้องสอนการบ้าน อย่างน้อย ลูกก็ต้องคัด เอ ถึงแซด และคำศัพท์อะไรง่ายๆได้บ้าง แต่พอมาเป็นระดับมัธยม ถ้าลูกคุณไม่ทำการบ้าน พ่อแมสักกี่คนที่จะรู้ พอไม่ทำการบ้านไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นไม่รู้ พอไม่รู้ก็ไม่อยากเรียนไปเรื่อยๆๆๆๆๆ

ดิฉันว่ามัธยมเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญกับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษมากๆค่ะ การเลือกวิธีสอนและตัวครูผู้สอนเป็นสิ่งสำคัญจริงๆนะคะ ดิฉันจำได้ว่า ดิฉํนเคยเข้าไปในโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งซึ่งครูให้นักเรียนอ่านออกเสียงเหมือนท่องอาขยานเป็นการฆ่าเวลา ไม่ได้มีการอธิบายอะไรใดๆ หรือแม้จะให้อ่านออกเสียงดังๆ ก็ไม่ได้มีการแก้การออกเสียงผิดๆของนักเรียนด้วยซ้ำ เห็นแล้วเห็นใจนักเรียนค่ะ แล้วนักเรียนที่ไหนจะเงยหน้ามองครูล่ะคะ ทุกคนก็ก้มหน้าเล่นโทรศัพท์มีอถือส่งข้อความกันเป็นแถว ไม่ว่าหน้าห้องหรือหลังห้อง

การเลือกตำราก็เป็นสิ่งสำคัญค่ะ ตำราที่ใช้ในปัจจุบันส่วนใหญ่ก็เป็นพวก commercial texts ซึ่งบางครั้ง รูปสวยก็จริง แต่ก็ดูจะcultural specific มากเกินไป ไม่เหมาะกับนักเรียนไทย หรือตำราที่สร้างขึ้นเอง บางครั้งก็จะมีแต่หลักไวยากรณ์ๆๆๆๆๆๆ ดิฉันว่า คงไม่เป็นเรื่องขอขาดบาดตายหรอกนะคะ ที่ครูจะเอาเรื่องชีวิตรักของเดวิด วิคตอเรีย เบคแฮมมาสร้างสีสันเป็นครั้งคราว หรือดึงเรื่องที่ใกล้ๆตัว ล่อใจให้นักเรียนมาออกมาพูด มาเขียนอ่าน แสดงความเห็น หรือแม้กระทั่งให้ดูการ์ตูนง่ายๆ

อีกประการหนึ่งคือ ครูมัธยมบ้านเราขาดโอกาสที่จะได้พัฒนาตนเองเท่าไหร่ และอาจจะมีอาการหมดไฟหากสอนไปสักพักหนึ่ง  มีโรงเรียนหลายโรงเรียนที่ดิฉันชื่นชมนะคะ ที่มีการส่งครูไปเมืองนอกเพื่อได้ไปรู้ไปเห็นวัฒนธรรมและการเรียนการสอนของประเทศอื่นๆ นอกจากนั้น ครูยังไม่ค่อยมีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเทคนิคการสอนกันอย่างจริงๆจังระหว่างครูมัธยมด้วยกันเอง บรรยากาศในห้องพักครูก็จะเต็มไปด้วยการคุยกันว่าลูกดิฉัน สามีดิฉันเป็นอย่างงี้ อย่างงั้น อย่างโง้น (หรือไม่ก็นินทาเด็ก) น้อยครั้งนักที่จะได้ยินการระดมสมองเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง (เข้าใจค่ะว่าแค่สอนก็เหนื่อยแล้ว แต่บางครั้ง การคุยกันทางวิชาการก็จำเป็นเช่นกัน)

--------------------------------------------------------------------

เอาหละค่ะ เอาเป็นว่าพอนักเรียนผ่านด่านมาได้ถึงระดับมหาวิทยาลัย ครูมหาวิทยาลัยก็เจอนักเรียนที่มีความสามารถภาษาอังกฤษหลากหลายมากๆ เช่น พูดไม่ได้เลย ใช้เทนส์ยังไม่ถูกด้วยซ้ำ กับพวก ลูกครึ่งแปลงกายมาเอง เอาหล่ะ จะสอนยังไงหล่ะทีเนี้ย

ครูมหาลัยส่วนใหญ่ก็มีความรู้ความสามารถในระดับพอไปวัดไปวาได้บ้าง แต่ครูมหาลัยหลายๆคนก็มีทัศนคติว่าชั้นสอนมหาลัยแล้ว คงไม่ต้องเสียเวลาไปจ้ำจี้จ้ำไชกับเธอแล้วนะ  พูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่เป็นเรื่องของเธอ ชั้นจะให้ความรู้เธอเท่าที่ชั้นจะให้นี้ จงไปทำอย่างไรก็ได้ให้มีความสามารถเพื่อที่จะได้เกรดเอ บี ซี หรือดี ตามที่เธอต้องการ (ซึ่งดิฉํนคิดว่าอาจารย์มหาวิทยาลัยจะคิดอย่างนี้ก็อาจจะไม่ผิดหากนักเรียนจบมัธยมมาแบบมีคุณภาพพอตัว แต่ความจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น นักเรียนบางคนยังต้องการความช่วยเหลืออย่างรุนแรงด้านภาษาอังกฤษ รุนแรงจริงๆค่ะ ประเภทยังใช้ สรรพนามบุรุษที่หนึ่งกับ is) หรือพูดอะไรไม่ได้เลยจริงๆ

แต่ก็อีกหละนะคะ อาจารย์มหาลัยปัจจุบันก็มีหน้าที่ต้องมุ่งผลิตผลงานวิจัยให้พอเพียงกับความต้องการของมหาลัยเพื่อนำไปประกันคุณภาพ ทำงานบริหารอีกหลายร้อยอย่าง พร้อมทั้งสอนพิเศษเพื่อหารายได้ให้พอเลี้ยงลูกเมีย การสอนภาคปกติก็เลยกลายเป็นเรื่องรองๆลงไปและเป็นความรับผิดชอบของผู้เรียนส่วนใหญ่ ดังนั้น ผู้เรียนที่มีความรับผิดชอบก็จะเริ่มกลับตัวในช่วงมหาลัย ออกไปเรียนฟัง พูด อ่าน เขียนบ้าง แต่สำหรับบางคนที่เรียนภาษาอังกฤษแค่เพียงพอผ่าน ตามข้อบังคับของหลักสูตร (ซึ่งบังคับแค่สามสี่วิชาสำหรับหลายๆคณะ)ก็คงยังพูดไม่ได้ต่อไป

อีกประการหนึ่งที่ประสบมาก็คือ หาคนที่จะมาสอนภาษาอังกฤษในระดับมหาวิทยาลัย ทั้งอาจารย์ไทยและอาจารย์ฝรั่งที่มีคุณภาพหายากจริงๆค่ะ ระบบราชการบางครั้งก็เป็นข้อจำกัดทำให้คนดีๆหนีไปค่ะ เช่น ถ้าคุณเป็นลูกครึ่ง แต่สัญชาติไทย ก็ถือได้ว่าคุณไม่ได้เป็นอาจารย์ฝรั่งทั้งๆที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ดังนั้นคุณเลยต้องรับเงินเดือนอัตราอาจารย์ไทย  แล้วใครที่ไหนจะมาสอนหล่ะคะ

สำหรับฝรั่ง ใบสมัครมีมาเป็นร้อยค่ะ เนื่องจากมีฝรั่งประเภทมาเที่ยวเล่นๆแล้วลองมาสมัครขำๆแต่น้อยคนนักที่จะอยู่ทนเพราะเงินเดือนไม่พอกิน ฝรั่งที่มาสมัครก็มีประหลาดๆค่ะเช่น บางคน กรอกใบสมัครว่าที่อยู่คือ ถนนข้าวสาร แบบไม่ให้แม้กระทั่งชื่อเกสต์เฮ้าส์น่ะค่ะ บางคนทำทรานคริปต์และปริญญาบัตรปลอมมาสมัคร  บางคนมาสอแล้วเขียนภาษาอังกฤษไม่รู้เรืองก็มีถมไปค่ะ 

----------------------------------------------------------------------------

พอนักเรียนจบมหาวิทยาลัยไปทำงานและรำลึกได้ว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ เรียนต่อไม่ได้ ทำงานก็ไม่ไดเลื่อนขั้น ก็ตัดสินใจมาเรียนพิเศษภาษาอังกฤษตอนเย็น หลายๆคนเสียเงินเรียนแล้วก็ไม่มีเวลามา เพราะเหนื่อยจากการทำงาน และถึงมาเรียนก็ไม่มีเวลาทบทวน หรือทำการบ้านมาค่ะ

------------------------------------------------------------------------------

คนส่วนใหญ่เกือบครึ่งของประเทศผ่านการเรียนการสอนแบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น เจอกับคุณครูแบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น และเรียนอยู่ในระบบที่กล่าวมาตั้งแต่ต้น ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจค่ะว่าทำไมคนไทยถึงพูดภาษาอังกฤษไม่ได้

ดิฉํนมองทุกคนด้วยความเห็นใจและเข้าใจค่ะ ไม่ว่าจะเป็นครูประถม มัธยม มหาลัย นักเรียน หรือผู้บริหารโรงเรียน เพียงแต่แค่คิดว่า ถ้าทุกคนเริ่มแก้ปัญหาจากตัวเองก่อน เช่นเป็นนักเรียนก็ขวนขวายอย่างเต็มที่และเป็นครูก็ให้ความสำคัญกับการสอนพอๆกับการหาเงินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง หรือสร้างตำแหน่งทางวิชาการ ภาษาอังกฤษของนักเรียนบ้านเราก็คงน่าจะดีขึ้นบ้าง ไม่มากก็น้อย
บันทึกการเข้า
sexpistols
คณะปฏิสนธิแห่งชาติ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 940


สวัสดีครับ ผมมาใหม่แนะนำด้วยนะครับ


« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 12:46:17 PM »

เริ่มจากนักการเมืองปริญญาห้องแถวก่อนเลยครับ
บันทึกการเข้า
suwan
นักสะสมเอวี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 91


« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 10:46:18 AM »

โทษนั่น โทษนี่  โทษคนอื่นแล้วสบายใจ
ที่คนไทยพูดฝรั่งไม่ได้มีหลายปัจจัย  ถามหน่อย...
วันหนึ่งๆ คุณพูดภาษาไทย กับภาษาอังกฤษ อันไหนมากกว่ากัน
และนั่นแหละ คือเหตุผลสำคัญ  ที่ทำให้คนไทยพูดอังกฤษไม่ได้ ฯลฯ

ปล. อย่้าไปพูดว่าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย  ขนาดภาษาไทย ภาษาแม่ของตนเองแท้ๆ  มันยังเขียนไม่ถูก  อ่านไม่ได้  บอกให้มันสะกด  ก็สะกดไม่เป็น ฯลฯ
บันทึกการเข้า
หมาป่าชั้นห้า
ผู้ชำนาญการเอวี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 107


« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 07, 2010, 03:05:28 PM »

เขียนยาวมากครับ บอกตรงๆว่าอ่านไปได้ครึ่งทางแล้วหยุด โดดมาอ่านล่างๆที่สรุป 

ผมคนนึงครับ ที่เห็นและเข้าใจปัญหานี้มาตั้งแต่เรียน ต้นเหตุปัญหามันมีหลายอย่างครับแต่หลักๆที่ผมเห็น (เน้นว่าผมเองนะครับ) คือปัญหามันมาจากครูและมาตรฐานการเรียนของไทยครับ ด้วยความเอือมของหลายๆอย่างพวกนี้ ทั้งครูอาจารย์ที่ทำงานหาเช้ากินค่ำ (ไม่ได้ด่าครูนะครับ แต่มีเยอะมากจริงๆในสมัยนี้ ทั้งทำเพราะคิดว่ามันเป็นงานหรือทำมาหลายปีเกินแล้วไม่มีทางดีขึ้น ไฟก็หมดไป) กับกระบวนการสอนและเนื้อหาที่ไม่ได้พัฒนาเด็กนอกจากเพิ่มคำศัพท์เลย ทำให้ผมเลือกต่อโทด้านการสอนภาษาอังกฤษ (Ma. ELT) ซึ่งจากการเรียนทำให้ผมเห็นต่างนิดหน่อยตรงใบปริญญานะครับ เพราะหลายๆอย่างที่ผมเรียนอยู่ตอนนี้มันส่งผลโดยตรงกับการสอน ทั้งวิธีการสอน การนำเสนอเนื้อหา การทำสื่อการสอน (ที่ไม่ใช่แค่หนังสือเรียนหนึ่งเล่ม) ฯลฯ อีกมากมายซึ่งมันช่วยในการสอนอย่างมาก ทั้งในมุมมองครูและนักเรียนเอง

เรื่องฝรั่งมาสอนหลายๆครั้งมีปัญหานะครับ เพราะอย่างที่คุณ Kaede พูดไว้มันก็เป็นฝรั่งชิวๆที่มาไม่ได้มีวุฒิอะไร ได้หนังสือมาหนึ่งเล่มก็สอนไปตามนั้น เด็กที่มันได้ก็ได้ไป เด็กที่มันไม่ได้ก็ลอกไปเดี๋ยวก็ผ่าน ซึ่งมันก็ไม่รู้และสนใจปัญหาว่านักเรียนมัน งง อะไรหรือจะสอนมันยังไงเพราะ เงินจ่ายแค่นี้สอนตามเล่มนี้ ก็จบแค่นี้แล

กลับมาคำถามแรกนะครับ ทำไมคนไทยพูดอังกฤษไม่ได้ ... ถ้าให้เลือกคำตอบเดียวผมคงตอบว่ามันไม่ได้ใช้และไม่คิดจะเอามาใช้ครับ เพราะตอนเรียนก็ใช้แค่สอบ ตอนทำงานก็ไม่ได้ใช้เลย 

จะแก้อย่างไร .... เลิกบ่นแล้วลงมาลุยเองดีกว่าครับ หาทางทำให้ดีขึ้นกับมือตัวเอง ไม่ใช่วงกว้างอย่างน้อยก็ได้เริ่มและเป็นตัวอย่างบ้างก็ยังดี 
บันทึกการเข้า
VanillaX
AV Responder
ผู้บัญชาการเอวีสูงสุด
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1321


« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 08:55:59 AM »

ในทางกลับกัน ทำไม ฝรั่ง พูดภาษาไทย ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ภาษาของเขา
บันทึกการเข้า

payee
คณะปฏิสนธิแห่งชาติ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 662


« ตอบ #5 เมื่อ: ตุลาคม 08, 2010, 09:17:26 AM »

อาจจะเพราะคนไทยไม่ค่อยกล้าพูดมั้งครับ กลัวจะผิดไวยากรณ์ กลัวเขาจะฟังไม่รู้เรื่อง เลยไม่เอาดีกว่า ถอยดีกว่า
ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว (แต่ยากเยอะ Cheesy)
บันทึกการเข้า
astrife
AV Dedicator (VIP)
ผู้บัญชาการเอวีสูงสุด
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2352



« ตอบ #6 เมื่อ: ตุลาคม 09, 2010, 08:36:06 PM »

ป้าคนนึง ไปทำงานที่อเมริกา ท่านไม่ได้ จบปริญญาอะไร ตอนไปทำงานก็ ชูไม้ชูมือพูดไป ผ่านไป 1 ปี พูดได้ คล่อง ปรื๋อ

ถ้าขั้นพูดกันรู้เรื่อง ไม่ยากเกินไปหรอกคับ 
แต่ถ้าเป็นขั้นสูง เช่น เขียนได้ถูกต้องตามไวยากรณ์ เช่น การเขียนบทความวิชาการ ก็ต้องเรียนเพิ่มเติม
บันทึกการเข้า
Sperm~Man
เมียไม่มี Av คือผู้ช่วย
คณะปฏิสนธิแห่งชาติ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 590


มันอยู่ในสายเลือด


« ตอบ #7 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2010, 08:21:20 PM »

ผม ว่า มัน มี หลาย ปัจ จัย นะ ครับ
สิ่ง แวด ล้อม มัน ไม่ อำ นวย ให้ สปี๊ก อิง ลิช
ถ้า คุณ อยู่ กับ คน ใต้ คุณ จะ พูด ปะ กิต กับ เค้า ไม๊
เป็น ผม ไม่ อ่ะ เพราะ นั่น จะ เป็น สิ่ง สุด ท้าย ที่ ได้ พูด
ถ้า คุณ พูด ปะ กิต บ่อย ๆ ให้ ติด ปาก
คน ก็ จะ หา ว่า พวก กระ แดะ ไทย คำ ปะ กิต คำ
สัง คม ไทย ยัง เปิด กว้าง ไม่ พอ ครับ
ยัง หัว โบ ราณ อยู่ ทำ ตาม ๆ กัน หน้า มึน ๆ
 
บันทึกการเข้า

ก็ผมอร่อย
คณะปฏิสนธิแห่งชาติ
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 623



« ตอบ #8 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 01:50:09 AM »

ถ้าเอาเฉพาะการเรียนตามที่มีสอนในการศึกษาพื้นฐาน ให้เรียนทั้งชาติก็ฟัง พูดไม่ได้หรอกครับ ถ้าคนไม่ได้สนใจเพิ่มเติมเอง

ผมว่าควรน่าจะทำความเข้าใจนะ การศึกษาพื้นฐานน่าจะให้เน้นที่ฟังอ่านพูดเขียนเบื้องต้นได้มากกว่า แต่ที่เรียนๆมามีแต่อยากจะให้รู้ศัพท์มันทุกคำ รู้ Grammar ยังกะวิชาหลักภาษา ทั้งๆทั้ในชีวิตถ้าเอาแค่พูดกันรู้เรื่องไม่ต้องรู้เยอะขนาดนั้นก็ได้ และที่สำคัญคือมันไม่ใช่ภาษาเรา

เหมือนภาษาไทย ไม่ต้องรู้ว่าคำมีกี่ชนิด วรรณยุกต์ผันไง คำผสมไง เด็กๆมันก็พูดกะพ่อแม่ได้เเล้ว ผมว่าทุกวันนี้มันก็ชัดว่าล้มเหลว พื้นฐานเอาแค่เน้นให้พูดอ่านเขียนง่ายๆได้ก็พอเเล้ว ถ้าคนรู้เบื้องต้นดีๆเเล้วจะไปต่อก็ไม่ยาก แต่ทุกวันนี้ถ้าคนที่อ่อนภาษาอังกฤษนี่มันตันแต่เริ่มเเล้ว

ใครจะต้องทำงานหรือใช้ในระดับสูงก็เป็นหน้าที่ที่ต้องศึกษาต่อเอาเอง ก็เหมือนมหาลัย ใครอยากไปทางไหนก็เรียนเฉพาะทางนั้น ใครไม่จำเป็นต้องใช้ภาษายากๆก็ไม่จำเป็นต้องเรียน
บันทึกการเข้า

alivesss
สหายร่วมหื่น
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 84



« ตอบ #9 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2010, 02:06:28 AM »

ชีวิตประจำวันมันไม่ได้ใช้แล้วมันจะพูดคล่องได้ยังไง
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  












AV Community Since 2009 : AVCollectors.com - Advertising please contact [email protected]